Food

ไวไวหอยลายผัดฉ่าแห้งแบบตั้งใจอร่อยกว่าเดิม

สิงหาคม 21, 2559 Admin Blog 0 Comments


     วันอาทิตย์ร่างกายต้องการพักผ่อนเยอะๆ มื้อกลางวันก็ไม่รู้จะกินไร คิดก็ไม่ค่อยออก รู้แต่อยากกินอะไรเผ็ดๆ ไหนๆ อากาศก็ร้อนแล้ว ก็ขอกินอะไรที่มันเผ็ดร้อนอีกดีกว่าให้มันร้อนตายกันไปข้างนึงเลย 555 คิดไปคิดมา คิดมาคิดไป ก็ปิ๊งกับไวไวหอยลายผัดฉ่าแห้งนี่แหละ คิดว่าน่าจะเผ็ดสุดแระในบรรดาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไม่รอช้าเดินไปร้านค้าใกล้บ้านคว้ามาเลยครับ หอยลายผ้ดฉ่าแห้งกับหอยลายผัดฉ่ากระป๋อง เมนูนี้จึงมีชื่อไปง่ายๆ ว่า "ไวไวหอยลายผัดฉ่าแห้งกับหอยลายผัดฉ่ากระป๋อง" มาเตรียมผักสำหรับจัดจานเลย

ส่วนผสม
1. ไวไวหอยลายผัดฉ่าแห้ง 2 ซอง
2. ปุ้มปุ้ยหอยลายผัดฉ่า 1 กระป๋อง
3. ต้นหอมซอย 1 ต้น

วิธีทำ
1. การจัดการอาหารญี่ปุ่นเช่นนี้ คงไม่ต้องบอกหลายๆ คนก็คงจะคุ้นชินกันเป็นอย่างดีเยี่ยมแล้วล่ะ จึงขอข้ามจุดๆ นี้ไปเลยละกัน
2. เมื่อจัดการกับเส้นเสร็จแล้วก็นำมาวางใส่จาน โปะด้วยหอยลายผัดฉ่ากระป๋องไว้บนสุด
3. โรยด้วยต้นหอมซอย เป็นอันเสร็จ

.
.
.
.
.
.
ปล. เผ็ดมากๆ อย่างที่คิด เผ็ดจนลืมถ่ายรูปตอนหมดจานแล้ว 555 ขอตัวไปหาของแก้เผ็ดก่อนน้าาาาา อ้าาาาาา........


0 ความคิดเห็น:

Food

ข้าวหมูอบกระเทียมพริกไทยดำ

สิงหาคม 21, 2559 Admin Blog 0 Comments


     เมนูวันหยุดนี้ไม่ต้องเร่งรีบเพราะได้ทำการหมักหมูไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ตอนเช้าตื่นไปตลาดหาซื้อผักเคียงนิดหน่อย ก็กลับมาทำต่อได้เลย วันนี้ขอเสนอเมนูเรียบง่ายคือ "ข้าวหมูอบกระเทียมพริกไทยดำ" แบบฉ่ำซอสสุดๆ มาดูส่วนผสมกันเลย

ส่วนผสม (สำหรับหมักหมู)
1. หมูสันคอ 400 กรัม
2. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ หรือเพิ่มลดแล้วแต่ชอบ
3. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
4. กระเทียมไทย 10 - 15 กลีบ
5. พริกไทยดำ 10 - 15 เม็ด หรือแล้วแต่ชอบ
6. รากผักชี 1 ราก
7. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
8. Baking Soda 1/2 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
10. เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ล้างหมูให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นใหญ่ หนาประมาณ 1.5 - 2 ซม.  พักให้สะเด็ดน้ำ
2. ตำกระเทียม รากผักชี พริกไทยดำ รวมกันให้ละเอียด
3. เอาทุกอย่างใส่ลงอ่างผสม เอามือขย้ำๆ ให้ทุกอย่างดูเข้ากันดี แพ็คใส่กล่องแช่เย็นไว้ข้ามคืน

ส่วนผสม (สำหรับการประกอบอาหาร)
1. หมูสันคอที่หมักเรียบร้อยแล้ว
2. กระเทียม 10 กลีบ ทุบพอแหลก
3. พริกไทยดำป่น แล้วแต่ชอบ
4. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ หรือแล้วแต่ชอบ
5. ซอสปรุงรสฝาเขียว 3 ช้อนโต๊ะ หรือแล้วแต่ชอบ
6. น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำต้มสุกหรือน้ำซุป 2 - 3 ถ้วย (หรือใส่ลงไปให้พอท่วมชิ้นหมู)

วิธีทำ
1. ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่น้ำมัน รอให้ร้อน
2. โยนกระเทียมลงไป เจียวให้หอม
3. โยนหมูตามลงไป คลุกเคล้าสักเล็กน้อย ตามด้วยซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส คลุกๆๆ
4. โปรยพริกไทยดำตามลงไป
5. เมื่อกลิ่นเริ่มมาก็ใส่น้ำต้มสุกลงไป ปิดฝากระทะรอให้น้ำค่อยๆ งวด หมั่นดู พลิกชิ้นหมูบ้าง (เพราะเดี๋ยวมันจะไหม้ซะก่อน จะหาว่าไม่เตือน55)
6. เมื่อน้ำเหลือเกือบๆ จะติดกระทะก็เป็นพอได้แล้ว ตอนนี้ที่ชิ้นหมูเราก็จะมีความฉ่ำบังเกิดให้เห็นแล้ว
7. จัดจานได้เลย (เห็นแล้วหิวทันที)


หมดดิไม่เหลือ 555 เนื้อหมูฉ่ำซอสเอามากๆ แล้วหาผักเคียงกินกันเยอะๆ นะคร้าบบบบบ


ปล. ถ้าไม่ต้องการกินกับข้าวก็ลองเป็นไข่ดาวน้ำดูบ้างเผื่อจะชอบกันน้าาาาาาา

0 ความคิดเห็น:

Food

เบอร์เกอร์อกไก่รมควัน ซอสหวาน

สิงหาคม 14, 2559 Admin Blog 0 Comments


     มื้อเช้าอิ่มอร่อยวันนี้..คิดจะทำมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำซักกะที และก็มาสำเร็จจนได้ลิ้มรสในเมนูที่คิดไว้ ขอนำเสนอเมนู "เบอร์เกอร์อกไก่รมควัน ซอสหวาน" สำหรับซอสหวานก็คือน้ำราดหมูแดงซึ่งก็เหลือมาจากการซื้อข้าวหมูแดงมากินและเก็บเอาไว้ เพราะคิดว่าน่าจะทำเมนูอะไรได้บ้างแล้วก็มาลงตัวกับเมนูนี้ เริ่มจากส่วนผสมกันก่อน

ส่วนผสม
1. ขนมปังเบอร์เกอร์ 2 ก้อน ตัดครึ่ง
2. อกไก่รมควัน หั่นแว่น 10-12 แผ่น ความหนาตามชอบใจ
3. ผักกาดหอมหรือผักอื่น เอาก้านออก สัก 4 ใบ
4. มะเขือเทศราชินี 2 ลูก หั่นแว่น
5. หอมหัวใหญ่ หั่นแว่น 2 แผ่น (สำหรับเบอร์เกอร์ 2 อัน)
6. เนยสำหรับปิ้งขนมปังเบอร์เกอร์
7. น้ำซอสหวานที่เหลืออยู่

วิธีทำ
1. ตั้งกระทะเทฟล่อนให้ร้อน นำอกไก่รมควันหั่นแว่น ลงนาบกับกระทะ ไม่ต้องใช้น้ำมัน
2. พออกไก่เริ่มหอมเอาลงพักไว้
3. เอาหอมหัวใหญ่ลงนาบให้สุกหอม ตักขึ้นพักไว้
4. เอาเนยใส่กระทะ เอาขนมปังเบอร์เกอร์ ลงนาบกับกระทะให้ร้อน จนผิวเริ่มจะกรอบ เอาขึ้น
5. จัดวางผักกาดหอมบนขนมปัง ตามด้วยอกไก่รมควัน หอมหัวใหญ่ที่ย่างแล้ว และมะเขือเทศ
6. ราดด้วยน้ำซอสหวาน (น้ำราดข้าวหมูแดง) ปิดด้วยขนมปังชิ้นด้านบน กดทับให้แน่น
7. จัดจานเสิร์ฟได้




ปล. โอ้ววววเยสสสส....มันอร่อยอย่างที่คิดจริงๆ (จัดจานจะไม่ทัน น่ากินเกิ๊น) 555

0 ความคิดเห็น:

Food

ไข่เจียวตะลุยสวนโคตรรก

สิงหาคม 14, 2559 Admin Blog 0 Comments


     เป็นมื้อกลางวันที่เก็บวัตถุดิบที่เหลือๆ จากทำมื้อเช้ามาใช้พอสมควร เข้าใจว่าวันนี้จะเป็นวันขี้เกียจของแอดซะแล้ว แต่ก็ต้องทำของกินอะนะ มาดูวัตถุดิบเหลือๆ ก็คิดไรไม่ออก เลยคิดว่าจับมันใส่ในไข่เจียวไปดีกว่าง่ายดี ทำเร็วทำง่ายกินอร่อยพอแระ จะได้เหลือเวลาไว้นอนตีพุงบ้าง ไปรวบรวมส่วนผสมกัน

ส่วนผสม
1. ไข่ไก่ 4 ฟอง
2. มะเขือเทศราชินี 5 ลูก หั่นครึ่งตามยาว
3. หอมหัวใหญ่ 1/2 หัว สับหยาบๆ
4. ปูอัด 2 ท่อน หั่นแฉลบ
5. ต้นหอม 1 ต้น ซอย
6. น้ำปลาแท้ 1 ช้อนโต๊ะ โดยประมาณ หรือตามชอบ
7. พริกไทดำ ปริมาณตามชอบ
8. น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ สำหรับทอด

วิธีทำ
1. ตีไข่ให้เนียน
2. เอาทุกอย่างใส่ลงในชามไข่ตีให้เข้ากัน
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันรอให้ร้อนจัด
4. เทไข่ลงไป กลับไข่ไปมาจนสุก
5. ข้าวสวยร้อนมาให้ไวเลย หอมเหลือเกิ๊นนนนน

ปล. หาน้ำพริกที่ชอบและผักกินด้วยจะยิ่งอร่อยนะ...ขอบอกกกกกกก

0 ความคิดเห็น:

Food

พิซซ่าอย่างง่ายๆ แบบบ้านๆ

สิงหาคม 14, 2559 Admin Blog 0 Comments


     เมื่อคืนกลับมาดึก แถมเช้าก็ออกไปวิ่งอีก กลับมาก็หิวแล้ว ต้องเอาของที่ตุนๆ ไว้มาทำกินแบบเอาเร็วๆ และง่าย ของที่ตุนก็มีแป้งพิซซ่าที่ซื้อไว้ยังไม่ได้แกะเลย อันนี้น่าจะเป็นคำตอบของความเร็วและง่าย แถมพอจะกินคู่กับกาแฟได้ด้วย เหมาะเลย...ไปดูส่วนผสมก่อน

ส่วนผสม
1. แป้งพิซซ่า (หาซื้อแบบสำเร็จได้ที่แม็คโครหรือศูนย์การค้าใหญ่ๆ)
2. ซอสมะเขือเทศ ปริมาณตามชอบ
3. ปูอัด 3-5 ท่อน จะซอยหรือจะหั่นก็ตามชอบเลย
4. แฮม 2 แผ่น หั่นเป็นเส้น
5. ชีส 2 แผ่น (ชีสที่แอดใช้ไม่เหมาะกับการทำพิซซ่านะ มันเหมาะกับการใส่ในแซนวิชแต่รสชาติแทนกันได้)
6. พริกยวก 1 เม็ดใหญ่หั่นแฉลบ หรือผักอื่นๆ ตามชอบ
7. เนย สำหรับทาถาดอบ

วิธีทำ
1. อุ่นเตาอบที่ 180 องศา ไว้ก่อนเลย
2. เอาเนยทาที่ถาดอบ แล้วนำแป้งวางลงบนถาดอบ
3. ละเลงซอสมะเขือเทศให้ทั่วแผ่นแป้ง
4. วางแฮมและปูอัด เกลี่ยให้ทั่ว ตามด้วยพริกยวกให้ทั่วๆ เช่นกัน
5. วางชีสให้ทั่วๆ หน้าพิซซ่า
6. เอาเข้าเตาอบ 15 - 20 นาที




ปล. ของแอดตั้งไฟเตาอบไว้ที่ 200 องศา กะว่าจะให้แป้งรอบนอกกรอบๆ แต่ออกมาไหม้ไปนิสสสสส เฉือนออกไม่กิน ฮ่าๆๆๆๆ ง่ายและเร็วจริงๆ หายหิวแระสบายใจ

0 ความคิดเห็น:

workout

RUN RUN RUN...วิ่งเพื่อสุขภาพ

สิงหาคม 06, 2559 Admin Blog 0 Comments


เคยมีคนบอกว่า สุขภาพดี ส่วนหนึ่งมาจากการออกกำลังกาย
            การออกกำลังกายที่สามารถทำได้ง่ายที่คนส่วนใหญ่นิยมกัน คือ  การวิ่งเพื่อสุขภาพ  ซึ่งมีความแตกต่างกับการวิ่งเพื่อแข่งขัน  โดยการวิ่งเพื่อสุขภาพ (จ๊อกกิ้ง) เป็นการวิ่งเหยาะๆ ด้วยความเร็วระหว่างการเดินกับการวิ่งเร็ว  การวิ่งที่ได้ผลดี ต้องเป็นธรรมชาติ ไม่เกร็ง โดยมีข้อแนะนำเพื่อนำไปปรับใช้ในการวิ่งเพื่อสุขภาพมาฝาก  


1. เทคนิคในการวิ่ง  
            1.  การลงเท้าที่ถูกวิธีเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อป้องกันการบาดเจ็บสำหรับนักวิ่งเพื่อสุขภาพโดยส้นเท้าจะสัมผัสพื้นก่อนทั้งฝ่าเท้าจึงจะตามลงมา และเมื่อปลายเท้าหมุนลงมาแตะพื้น  ก็เป็นจังหวะที่ส้นเท้าเปิดขึ้น ปลายเท้าก็จะคล้ายตะกุยดิน ถีบตัวเหมือนสปริงดีดตัวขึ้นบนและเคลื่อนไปข้างหน้า   จุดที่เท้าสัมผัสพื้นควรจะตรงกับหัวเข่างอเข่านิดๆ  เท้าควรจะสัมผัสพื้นหลังจากที่ได้เหยียดออกไปข้างหน้า  ส่วนอีกเท้าเหวี่ยงไปข้างหลัง ควรจะลงแตะพื้นเบา นักวิ่งส่วนใหญ่จะลงพื้นด้วยริมนอกของเท้า และหมุนเข้าด้านใน ซึ่งการหมุนเข้าด้านใน ช่วยเป็นเกาะกันกระแทก การลงเท้าและการก้าวเท้าจะช่วยให้วิ่งเร็วขึ้น ส่วนจะก้าวยาวหรือสั้นนั้นขึ้นอยู่กับนักวิ่งว่าต้องการความเร็วแค่ไหน โดยนักวิ่งเร็วจะลงพื้นด้วยปลายเท้าก่อน  ส่วนนักวิ่งระยะกลางจะลงพื้นด้วยอุ้งเท้าก่อน  และสำหรับนักวิ่งระยะไกลและนักวิ่งเพื่อสุขภาพจะลงด้วยส้นเท้าก่อน  
            2 . ท่าทางในการวิ่ง ควรวิ่งให้หลังตรงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด  ศีรษะตรงตามองตรงไปข้างหน้าให้ส่วนต่างๆ จากศีรษะลงมาหัวไหล่และสะโพกจนถึงพื้นเป็นเส้นตรง  ลำตัวไม่โน้มไปด้านหน้าหรือเอนไปด้านหลัง
            3.  การเคลื่อนไหวของแขนจะช่วยเป็นจังหวะและการทรงตัวในการวิ่ง  ขณะวิ่งแขนแกว่งไปมาเหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกาไปตามแนวหน้าหลัง  พยายามอย่าให้ข้อศอกงอเข้ามาแคบกว่า 90 องศา หัวแม่โป้งวางบนนิ้วชี้สบายๆ กำนิ้วหลวมๆ ข้อมือไม่เกร็ง บางครั้งอาจเหยียดแขนตรงลงมา หรือเขย่าแขนเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวบ้าง หลังจากยกแขนไว้นานๆ
            4.  การหายใจ ควรหายใจเข้าทางจมูกและปล่อยลมหายใจออกพร้อมกันทั้งทางจมูกและปาก  อย่างไรก็ดีให้ยึดกฎง่าย ๆ คือ การหายใจควรเป็นไปตามสบายและพยายามหายใจด้วยท้อง  การหายใจด้วยท้องคือ สูดหายใจเข้าไปในปอดจนท้องขยายและบังคับปล่อยลมให้ออกมาด้วยการแขม่วท้อง การหายใจไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดการจุกเสียดขณะวิ่งได้


2. ความหนัก ความนาน และความบ่อยของการวิ่ง
            ความหนักหรือความเร็ว  ควรใช้ความเร็วที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับต้องหายใจทางปากหรือมีอาการหอบ เมื่อวิ่งไปแล้ว 4 – 5 นาที ควรมีเหงื่อออก ยกเว้นในอากาศเย็นจัดอาจยังไม่มี   แต่สามารถวิ่งต่อไปได้เกิน10 นาที อาจใช้ความเร็วความคงที่ตลอดระยะทางหรือจะวิ่งเร็วสลับช้าบ้างก็ได้   แต่การวิ่งติดต่อกันโดยไม่หยุดถึง10 นาที เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักสำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นกีฬาหรือวิ่งเป็นประจำอยู่ก่อน ฉะนั้นผู้ที่เริ่มวิ่งทุกคนจึงไม่ควรตั้งความหวังสำหรับการวิ่งครั้งแรกไว้ว่า จะวิ่งให้ได้ตลอดมากกว่า10 นาที โดยไม่สลับด้วยการเดิน
            ความจริงแล้วการวิ่งสลับกับการเดินยาวๆ  โดยไม่หยุดวิ่งในวันแรกๆ เป็นสิ่งถูกต้อง  เพราะเป็นการผ่อนคลายร่างกายที่ไม่ทำให้เกิดความเครียดมากจนเกินไป  แต่ในวันต่อ ๆ ไปควรเพิ่มระยะเวลาของการวิ่งให้มากขึ้น และลดระยะเวลาของการเดินให้น้อยลง จนในที่สุดสามารถวิ่งเหยาะได้ติดต่อกันไม่น้อยกว่า10 นาที  โดยไม่ต้องสลับด้วยการเดิน และทำเช่นนี้อย่างน้อย 3 วัน ต่อสัปดาห์ จึงถือได้ว่าเป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพ


3. การอบอุ่นร่างกายก่อนวิ่งและการผ่อนคลายร่างกายหลังวิ่ง 
            ก่อนและหลังการวิ่งทุกครั้ง ควรอบอุ่นร่างกายและผ่อนคลายร่างกายประมาณ 4 – 5 นาที โดยวิ่งเหยาะๆ ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าที่ใช้ในการวิ่งจริง พร้อมกับทำกายบริหารยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วย

            แต่บางครั้งร่างกายอ่อนแอ อาจอดนอน หรือเจ็บไข้ หรือวิ่งในขณะอากาศร้อนจัด และไม่ได้ทดแทนน้ำและเกลือแร่พอเพียง อาจเกิดอาการที่ส่อ สัญญาณเตือนอันตรายขึ้นขณะวิ่งได้   เช่น อาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้หรือหน้ามืดเป็นลม รู้สึกคล้ายหายใจไม่ทันหรือหายใจไม่ออก ใจสั่น แน่น เจ็บตื้อบริเวณหน้าอก หรือลมออกหู หูตึงกว่าปกติ  มีบางรายอาจควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้  ซึ่งถ้าเกิดมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น  ให้ทำตามลำดับดังนี้
                  1.  ขณะวิ่ง ให้ชะลอความเร็วลง หากอาการหายไปอย่างรวดเร็ว  อาจวิ่งต่อไปอีกระยะหนึ่งด้วยความเร็วที่ชะลอไว้แล้วนั้น 
                  2.  แต่หากชะลอความเร็วแล้ว ยังมีอาการอยู่อีก  ให้เปลี่ยนเป็นเดิน
                  3.  ถ้าเดินแล้วยังมีอาการอยู่ ต้องหยุดนั่งหรือนอนราบจนว่าอาการจะหายไป
                  4.  ซึ่งในวันต่อไป จำเป็นต้องลดความเร็วและระยะทางลง
                  5.  ถ้าอาการที่เป็นสัญญาณเตือนอันตรายไม่หายไปแม้พักแล้วเป็นเวลานาน  ต้องรีบปรึกษาแพทย์

สำหรับประโยชน์ของการวิ่ง มีมากมายตั้งแต่...
                   1.  ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือด  ปอด  หัวใจทำงานดีขึ้น   ลดระดับไขมันในเลือด  เพื่อป้องกันโรคหัวใจ  ความดันโลหิตสูง  และช่วยให้ไม่เป็นลมหน้ามืดง่าย
                   2.  ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ลดภาวะกระดูกพรุน
                   3.  ช่วยปรับภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานดีขึ้น
                   4.  ช่วยควบคุมน้ำหนักของร่างกาย
                   5.  กระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินขึ้น ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด  และทำให้รู้สึกสุขสบาย  

            และสุดท้าย จะดีมากขึ้น ถ้าการวิ่งใช้เสื้อและกางเกงที่ทำจากผ้าฝ้าย ไม่รัดแน่นหรือหลวมจนเกินไป รวมทั้งรองเท้าหุ้มส้นที่พอดีกับขนาดและรูปเท้า ตลอดจนพื้นรองเท้าควรหนาและนุ่ม   หากออกกำลังกายได้อย่างที่ว่า  สุขภาพดีก็อยู่แค่เอื้อม


ปล. ดื่มน้ำชดเชยน้ำที่สูญเสียจากการออกกำลังกาย

ข้อมูล :  ศ.นพ.ยุทธนา  อุดมพร
          หน่วยสร้างเสริมสุขภาพกีฬาและนันทนาการ
          Faculty of Medicine Siriraj Hospital
          คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
            http://www.si.mahidol.ac.th/anesth/dept_article_detail.asp?a_id=731
ภาพ :   pinterest.com

0 ความคิดเห็น:

Food,

แซนวิชทูน่าไข่ต้มสไลด์

สิงหาคม 01, 2559 Admin Blog 0 Comments



     เช้านี้หาของกินง่ายแล้วก็มีขนมปังอยู่แล้ว แถมหิวแล้วด้วยหลังจากตื่นเช้าแล้วต้องรีบไปส่งเด็กน้อยที่โรงเรียนและไปจ่ายตลาด กลับมาก็สายแล้วต้องหาของกินง่ายและเร็ว ด้วยเมนู "แซนวิชทูน่าไข่ต้มสไลด์" พร้อมกับกาแฟร้อนสักแก้วก็...สบายล่ะ มาดูส่วนผสมแบบง่ายแสนง่ายกัน

ส่วนผสม
1. ขนมปัง 2 แผ่น
2. ทูน่า 2 ช้อนชา
3. ไข่ต้ม 1 ฟอง
4. ผักกาดหอม 1-2 ใบ
5. มะเขือเทศราชินี 2 ลูก หั่นแว่น
6. มายองเนส
7. เกลือ
8. พริกไทดำ

วิธีทำ
1. ยีทูน่าให้เนื้อแตกออกจากกัน ใส่เกลือนิดหน่อยและพริกไทดำนิดหน่อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน ผสมด้วยมายองเนสพอให้เนื้อทูน่าจับตัวกัน
2. นำไข่ต้มมาสไลด์เป็นแว่นด้วยที่หั่นแว่น
3. ปิ้งขนมปัง
4. วางขนมปังที่ปิ้งแล้ว ทามายองเนสบางๆ วางผักกาดหอม (หรือผักอื่นตามชอบ) วางไข่ต้มที่สไลด์แล้ว โปะด้วยทูน่าและมะเขือเทศ พร้อมประกบด้วยขนมปังอีกแผ่น ตัดครึ่งเป็นสามเหลี่ยม
5. กินเถอะหิวแล้ว ฮ่าๆๆๆ

ปล. รสชาติเหมือนที่ทำขายนั่นแหละ แต่มันอร่อยตรงที่เป็นขนมปังหัวแถวแล้วปิ้งให้กรอบขึ้นอีกเล็กน้อย และเมนูนี้ก็เหมาะจะเป็นเมนูเฮลตี้ด้วยนา เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งในตอนเช้าร่างกายจะต้องการโปรตีนเข้าไปชดเชยส่วนที่เสียไปตอนเราหลับพักผ่อนเป็นเวลาหลายชั่วโมง



0 ความคิดเห็น:

Food

ข้าวไก่ย่างเทอริยากิงาดำ

กรกฎาคม 31, 2559 Admin Blog 0 Comments


     เริ่มต้นวันอาทิตย์ด้วยอาหารง่ายๆ เนื่องจากเป็นวันหยุดที่จะตื่นสายที่สุดแล้วเย้ๆๆๆๆ เลยทำอะไรง่ายๆ กิน หลังจากเมื่อวานออกกำลังกายหนักมา ตอนเช้าร่างกายน่าจะต้องการโปรตีนเพื่อชดเชยในส่วนที่เสียไป เปิดตู้เย็นป๊าบบบบ...แน่นอนครับ หยิบอกไก่ก่อนเลยเพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะกิน แต่จะเป็นเมนูไรล่ะ เหมือนเดิมมองไปรอบๆ จะเอ๋กับขวดซอสเทอริยากิ ได้แล้วเมนูวันนี้ แต่มันโล่งไปหน่อย อือออ...เพิ่มงาดำซะหน่อยเพื่อความสวยงามน่าจะดูดี สรุปวันนี้เป็น "ข้าวไก่ย่างเทอริยากิงาดำ" ไป..ไปดูส่วนผสมกัน

ส่วนผสม
1. อกไก่   2 ชิ้น
2. ซอสเทอริยากิ 2-3 ทัพพี
3. งาดำ 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำตาลทราย 1-2 ช้อนชา (แล้วแต่ชอบ)
5. เกลือ 1 ช้อนชา
6. พริกไทดำเล็กน้อย
7. ผงปาปีก้า
8. น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ล้างอกไก่ให้สะอาด เลาะหนังทิ้งไปเลย หั่นแบบผีเสื้อเพื่อแบะอกไก่ออก พักให้สะเด็ดน้ำ หมักไก่ด้วยเกลือ พริกไทดำ ผงปาปีก้า ทิ้งไว้สัก 10 นาทีพอ หิวแล้วไม่ต้องหมักนาน
2. กะทะเทฟล่อนตั้งไฟให้ร้อน ใส่น้ำมันมะพร้าวลงไป กลิ้งน้ำมันให้ทั่วกะทะ รอให้ร้อนจัดเบาไฟ เป็นไฟอ่อน นำอกไก่ลงไปนาบเลย รอข้างละประมาณ 5 นาทีก็น่าจะพอสุกแล้ว (ขึ้นอยู่กับความหนานะลองกดๆ ดู ถ้าเนื้อยังเด้งๆ อยู่คือมันยังไม่สุก)
3. ไก่สุกแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ ตั้งกะทะใบเดิมใส่ซอสเทอริยากิ พอซอสเดือดใส่น้ำตาลคลุกเคล้านิดหน่อย โยนไก่ลงไปโลดคลุกเคล้าให้ซอสเคลือบที่อกไก่ให้ทั่ว แล้วโปรยงาดำลงไปเลยคลุกๆ เอาขึ้นได้เลย เย้ๆๆๆๆ...จะได้กินแระ
4. จัดจานพร้อมเสิร์ฟ

ปล. โอ้ววววววว..เยสสสสสสส ทำเองกินเองก็ต้องอร่อยแหละ ฮ่าๆ หาผักไปกินด้วยเยอะๆ ด้วยเพิ่มไฟเบอร์ฯ ให้ตัวเราเอง

 ฮ่าๆ ชิ้นนี้เหลือไว้ถ่ายรูปให้พอรู้ว่ามันคืออะไร อิอิอิ

0 ความคิดเห็น:

Food

ฟูซิลลี่ผัดโหระพาพริกไทดำ

กรกฎาคม 30, 2559 Admin Blog 0 Comments



     เริ่มต้นวันเสาร์แสนสุขใจ ตื่นเช้ามาก็เตรียมของกินสิ หิวแล้วนิ อือ...แต่นี่เพิ่งจะหกโมงเช้าเองนา หิวแล้วรึเจ้าร่างกาย คือเมิงเรียกร้องอาหารเร็วไปนะ..ฮ่าฮ่า  แต่ก็ขัดความต้องการไม่ได้ครับ รีบเปิดตู้เย็นดูว่ามีวัตถุไรเหลือๆ บ้าง เห็นแระ แฮมเหลือจากขายแซนวิช 4 แผ่นครึ่ง โหระพาซื้อมาหลายวันแล้วไม่ได้ทำไรกินซักกะที พริกแห้งตั้งแต่ซื้อมายังไม่ได้แกะออกจากห่อเลย แล้วก็คิดต่อจะกินไรกับวัตถุดิบนี้  แต่เอๆๆๆๆ...วันนี้รู้สึกไม่อยากกินข้าว มองไปรอบๆ เจอแล้วพระเอกแก้ขัดมันคือ "ฟูซิลลี่" (ฟูซิลลี่ คือ หนึ่งในบรรดาพาสต้านั่นเอง มีลักษณะเป็นเส้นเกลียว) เอาเป็นว่าเมนูวันนี้ออกมาแล้ว "ฟูซิลลี่ผัดโหระพาพริกไทดำ" น่าจะใช้ได้ ไปดูส่วนผสมก่อน

ส่วนผสม
1. ฟูซิลี่ 1 ถ้วย
2. แฮม 2 แผ่น หั่นเป็นชิ้นตามความชอบเล็กหรือใหญ่
3. โหระพา  3 - 4 ต้น เด็ดใบ 
4. พริกแห้ง 5 เม็ด 
5. เกลือ 1/2 ช้อนชาหรือ 3/4 ช้อนชา
6. ซอสพริกไทดำ หรือ พริกไทดำป่น ก็ได้ ใส่แล้วแต่ชอบ
7. น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ (แอบเพื่อสุขภาพซะหน่อย)

วิธีทำ 
1. นำน้ำใส่หม้อตั้งไฟ ใส่น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย และเกลือนิดหน่อย ใส่ฟูซิลลี่ลงไป รอน้ำเดือด และต้มต่อไปตามระยะเวลาบนห่อของฟูลซิลี่ (แต่ละยี่ห้อใช้เวลาต้มไม่เท่ากัน) เมื่อต้มเดือดไปตามเวลาแล้ว ให้ตักฟูซิลลี่ลงน้ำเย็นทันที (เพื่อให้เส้นเหนียวและเด้ง ไม่เละ) ทิ้งไว้สักพัก เทน้ำออกรอให้สะเด็ดน้ำ
2. ตั้งกะทะ (เทฟล่อน) ให้ร้อน เทน้ำมันมะพร้าวลงไป  นำแฮมที่เตรียมไว้ลงไปผัดกับน้ำมัน พอให้ส่งกลิ่นหอมๆ 
3. โยนฟูซิลลี่ตามลงไปเลย คลุกเคล้าให้เข้ากัน เบาไฟให้เป็นไฟกลาง ปรุงรสด้วยเกลือ ซอสพริกไทดำหรือพริกไทดำ ตามความชอบ 
4. โยนพริกแห้งและโหระพาลงไปเลย ผัดให้ผักสลบก็เอาขึ้นได้ 
5. จัดจานหรือไม่ก็กินมันตรงนั่นแหละ จบ
    
     เมนูจะได้กลิ่นโหระพาฟุ้งกันเลยทีเดียว หอมมากยิ่งถ้านำพริกแห้งไปคั่วก่อนนำมาผัดจะยิ่งหอมมากๆ รสชาติกลมกล่อม แต่จะเผ็ดพริกแห้งสักหน่อย (ใส่แต่พอชอบได้) 

ปล. โอ้ววววววววเยสสสสสสส....หร่อยเว้ยยยยย

 

0 ความคิดเห็น:

P.foods. ขับเคลื่อนโดย Blogger.